เรื่องอื่นๆ | รับทำเงินเดือน - Part 2 เรื่องอื่นๆ | รับทำเงินเดือน - Part 2

วิธีตรวจธนบัตรปลอม

สิ่งต่อไปนี้จะปรากฏอยู่บน ธนบัตรของจริงค่ะ
1. ลายน้ำ พระบรมสาทิสลักษณ์ มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง และรูปลายไทยจะโปร่งแสงเป็นพิเศษ
2. แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ นำเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขและตัวอักษรโปร่งแสง
3. พิมพ์เส้นนูน พระบรมสาทิสลักษณ์ ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด
4. ตัวเลขแฝง ซึ่งอยู่ในลายไทย มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่าง โดยมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร
5. ภาพซ้อนทับพิมพ์แยกส่วนไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อ ยกส่องกับแสงจะมองเห็นภาพสวยงาม โดยแบงก์พันจะเป็นรูปดอกบัว แบงก์ 500 เป็นรูปดอกพุดตาล แบงก์ 100 เป็นตัวเลข 100 แบงก์ 50 เป็นตัวเลข 50 แบงก์ 20 เป็นตัวเลข 20
6. ตัวเลขจิ๋ว บรรจุในตัวเลขไทยด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจนด้วยแว่นขยาย
7. แทบฟอยล์ สีเงินมองเห็นเป็นหลายมิติ และสะท้อนแสงเมื่อพลิกไปมา
8. หมึกพิมพ์พิเศษ ตัว เลข 1000 จะมองเห็น ด้านบนสีทอง ด้านล่างสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างขึ้นจะเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด ส่วนแบงก์ 500 ตัวเลข 500 จะมองเห็นตัวเลขสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างจะมองเห็นเป็นสีม่วง นอกจากนี้ ยังมีวิธีนำบริเวณลอยนูนของแบงก์ เช่น คำว่ารัฐบาลไทย ถูกับกระดาษสีขาว ของจริงจะปรากฏสีให้เห็น

คลิ๊กที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

1000serie15L

1000changeL

500sizeL

100sizeL

50sizeL

20sizeL

Refer..http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/production_and_security/Pages/identify.aspx

ถูกเลิกจ้าง เพราะนำรถประจำตำแหน่งไปใช้งานส่วนตัว

สังคมไทยหลากหลายด้วยผู้คน ความเป็นมาและเป็นไปได้ แบ่งผู้คนออกเป็นหลายระดับ ระดับที่นำมาแบ่งกันในปัจจุบันอย่างง่ายๆ คือ ฐานะทางเศรษฐกิจ ฐานะทางการศึกษา และฐานันดร

ผู้คนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คงไม่มีใครอยากอยู่ อยากเป็น ชนชั้นที่ด้อยกว่าใคร แต่เขาเหล่านั้น หนีไม่พ้นต่อสภาพชนชั้นที่ต้องดำรงอยู่ ต่อเมื่อดิ้นรนด้วยมือและสมองตามสมควร ชนชั้นที่ แต่ละคนดำรงอยู่ จึงจะเปลี่ยนไปได้ทั้งในทางบวกและทางลบ ดีขึ้นหรือเลวลง เจริญหรือ เสื่อม

สิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นอีกเช่นกัน คือ สภาพของชนชั้นของผู้คน ย่อมถูกกำหนดโดยผู้ที่มีฐานะ ทางสังคมเหนือกว่า ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยจงใจ และไม่จงใจ

ผลสรุปออกมาเช่นนี้แล้ว ชนชั้นที่ดำรงอยู่ในบ้านเมืองเราเฉกเช่นชนชั้นระดับรากหญ้า ซึ่งมีอยู่มากมาย กลายเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ย่อมเป็นผลิตผลที่เกิดขึ้นจากระบบ เศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนา และการปกครองของบ้านเมืองเรา ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ดังกล่าวแล้ว

ผลสรุปอีกเช่นกัน เมื่อสังคมเราโน้มเอียงไปในทางส่งเสริมให้มีชนชั้นที่ด้อยกว่า ทั้งในด้านการ ศึกษา เศรษฐกิจ และจริยธรรม ดำรงอยู่ และเพิ่มปริมาณมากขึ้น ไม่ได้รับการพัฒนายกระดับ ให้ดีขึ้นอย่างจริงจัง ผู้ที่เหนือกว่าในทุกทาง พยายามตักตวงหากำไรจากผู้ที่อ่อน และด้อยกว่า เราจึงหมดสิทธิ์คาดหวังว่าจะได้ “นักการเมือง” ที่มีคุณภาพเฉกเช่นอารยประเทศต่างๆ บน โลกใบนี้ ดังคำกล่าวที่ว่า “ประชาชนเป็นเช่นไร นักการเมืองย่อมเป็นเช่นนั้น”

สรุปอีกคำรบหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในด้านการเมืองไทยขณะนี้ นาทีนี้ มาจาก “กรรม” คือ การกระทำของชนชั้นที่อยู่ในระดับเหนือกว่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ ปัดความรับผิดไม่พ้น ทุกคนจึงต้องรับวิบากกรรมที่กำลังเกิดขึ้นร่วมกันจากระบบการเมืองที่น่าอเนจอนาถ ตราบใดที่เราต้องซุกหัวนอนอยู่ที่นี่ อยู่ที่ประเทศไทย

มาว่ากันถึงคดีความเช่นเคย

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ “นายเฟื่องฟู” หนุ่มใหญ่ที่น่าจะเฟื่องฟูได้เหมือนชื่อ พี่แกมีลูกเมีย มีหน้าที่การงานทำเป็นหลักฐาน อยู่ในบริษัทที่ไม่เล็กในเมืองไทย แต่ใช้ชื่อฝรั่งตามกระแส นิยม ตำแหน่งคงไม่ย่อยเพราะบริษัทจัดรถไว้ให้ใช้อีกด้วย

ความเฟื่องฟูของชีวิตนั้น จะว่าง่ายก็ดูเหมือนง่าย หากระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของเรา ทุกย่างก้าว ไม่อยู่ในความประมาท จะว่ายากก็ยาก เพราะเส้นทางของคนเรา ไม่ได้โรยด้วยกลีบ กุหลาบ แม้กระทั่งคนอย่างท่านขงเบ้ง ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรของจีนในสมัย “สามก๊ก” ก็ กระอักเลือด แก้ปัญหาไม่ตก ค้ำชูทายาทของท่านเล่าปี่ ที่ได้รับการฝากฝัง ให้รุ่งเรืองปลอดภัย ไม่ได้ ช้ำใจตายก่อนวัยอันควร เพราะความไม่เอาไหนของคนรอบข้างส่วนหนึ่ง

นายเฟื่องฟู ก็ทำท่าจะไม่เฟื่องฟู เพราะยึดถือเอาความมักง่ายเป็นที่ตั้ง นำรถที่บริษัทมอบไว้ ให้ใช้งานในหน้าที่ พาครอบครัวไปท่องเที่ยว รถเกิดอุบัติเหตุเสียหายแยะ ยังดีที่คนบนรถรอด ตาย รถต้องเข้าอู่ซ่อมนาน 2 สัปดาห์ แน่นอนนายจ้างโกรธจัด นายเฟื่องฟู จึงตกงานอย่าง กะทันหัน

คนเราส่วนใหญ่ในสมัยนี้หรือสมัยไหนก็แล้วแต่ เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมา มักจะโทษคนอื่นไว้ก่อน นายเฟื่องฟู ก็เช่นกัน พอตกงานก็ล้งเล้งถือว่านายจ้างทำกับตนไม่ถูกต้อง จะมาไล่ออกจากงาน ได้อย่างไร แบบนี้ต้องฟ้องศาลให้เห็นดำเห็นแดง

ศาลซึ่งเป็นองค์กรที่คอยค้ำจุนบ้านเมืองอย่างสำคัญ บ้านเมืองไหนศาลไม่เข้มแข็ง พังเอาง่ายๆ แต่เจ้ากรรมศาลมักจะเป็นที่พึ่งของคนที่คิดผิด ทำผิดอยู่เสมอ นายเฟื่องฟู ไปที่ศาลแรงงานกลาง ยื่นฟ้องบริษัทผู้เป็นนายจ้าง อ้างว่าไม่มีสิทธิ์ไล่ นายเฟื่องฟู ออกจากงานแบบไม่ให้ตั้งตัว เขาไม่ ได้ทำผิด รถที่เสียหายเป็นเรื่องอุบัติเหตุทั่วไป เกิดขึ้นได้เสมอ เรียกร้องให้บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชย เงินค่าจ้าง ฐานไม่บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะไล่ออก พร้อมกับค่าจ้างค้างจ่าย

บริษัทตกเป็นจำเลยซะงั้นแหละ ต้องหาทนายสู้คดี อ้างว่า นายเฟื่องฟู ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ฝ่าฝืน ระเบียบและคำสั่งของบริษัทอย่างแรง จึงไล่ออกได้ ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งนั้น ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแบบสบายๆ ไม่เครียดเหมือนคดีการเมือง แล้วชี้ว่า นายเฟื่องฟู นำรถยนต์อันเป็นทรัพย์สินของบริษัทไปใช้ธุระส่วนตัว โดยไม่เกี่ยวกับการทำงานแล้วเกิด อุบัติเหตุ ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย บริษัทไม่มีรถยนต์ใช้ เป็นการไม่ซื่อตรงต่อการปฏิบัติ หน้าที่ ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งของบริษัทในกรณีร้ายแรง บริษัทมีสิทธิ์เลิกจ้าง นายเฟื่องฟู ได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พรบ. คุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 119 (4) และถือเป็นการทำผิดร้ายแรง จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม กฎหมายแพ่ง มาตรา 583 ให้บริษัทจ่ายเฉพาะค่าจ้างที่ค้างจ่าย

นายเฟื่องฟู ฟ้องแล้วจะได้เงินแค่หมื่นกว่าบาท ไม่ได้หลายแสนบาทตามที่ตั้งไว้จะเอามาเป็น ทุนเดินหางานใหม่ จึงเล่นเกมยาว ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ตามประสาของคดีแรงงาน

ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้จนหน้ามืดเล็กน้อย แล้วชี้ขาดออกมาว่า

คดีนี้ศาลต้องขบให้แตกว่า นายเฟื่องฟู ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่ง อันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของบริษัท เข้าข่ายร้ายแรงหรือไม่ เมื่อดูระเบียบข้อ บังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท (ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องมีไว้ ไม่งั้นเสียงานและการต่อสู้คดี- ผมขอแนะนำ) เรื่องวินัย โทษทางวินัยและการพนักงานข้อ 1.4.3 ระบุว่า “พนักงานต้องไม่นำ อุปกรณ์หรือทรัพย์สินของบริษัท ฯ ไปใช้นอกเหนือจากการทำงานให้แก่บริษัท โดยไม่ได้รับ อนุญาตจากผู้บังคับบัญชา”

ศาลเห็นว่า นายเฟื่องฟู นำรถยนต์ที่บริษัทเช่ามาให้ทำงานของบริษัท ขับพาลูกเมีย ของตนโจทก์ไปเที่ยวแล้วเกิดอุบัติเหตุ ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายอย่างมาก เป็นการนำรถยนต์ของบริษัทไปใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้ทำงานให้แก่บริษัท และไม่ได้รับ อนุญาต เป็นการไม่ซื่อตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ อาศัยตำแหน่งหน้าที่นำรถยนต์ของบริษัท ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ทำให้ไม่มีรถยนต์ใช้งานนานถึง 2 สัปดาห์ ถือว่าฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง บริษัทสามารถ เลิกจ้าง นายเฟื่องฟู ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า ได้เฉพาะค่าจ้างค้างจ่ายตามที่ศาลล่างว่าไว้ กับดอกเบี้ยเท่านั้น

จำไว้นะครับ รถประจำตำแหน่งทำให้ได้รับความเดือดร้อนมานักแล้ว โดยเฉพาะคนที่ ทำงานในบริษัท ห้างร้าน ทั้งหลาย หรือในรัฐวิสาหกิจ ส่วนรถประจำตำแหน่งของฝ่าย ข้าราชการนั้นไม่เท่าไร เห็นเอาไปจ่ายตลาด เอาไปใช้ส่วนตัวได้สบายอยู่แล้ว ตำแหน่ง ใหญ่เท่าไร ยิ่งสบายเท่านั้นแล

จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2548

ที่มา..AUTOINFO

สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ผลกระทบต่อผู้ฝากเงิน

การฝากเงินกับธนาคารถือเป็นรูปแบบหนึ่งในการออม ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งรายใหญ่และรายย่อยอย่างมาก เพราะผู้ฝากเงินส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเงินที่ฝากไว้กับธนาคารจะไม่มีความเสี่ยงในการสูญหายเนื่องจากรัฐบาลจะเป็นผู้คุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวนให้แก่ผู้ฝากเงิน อย่างไรก็ตาม การให้ความคุ้มครองเงินฝากเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันการเงินในประเทศ ถือเป็นภาระอันหนักหน่วงของรัฐบาลที่จะต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในการดำเนินการของธนาคาร ดังนั้น พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝากเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

1.เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจนเป็นที่แน่ใจว่าผู้ฝากเงินจะไม่ตื่นตระหนกและไม่เร่งถอนเงินฝากในกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา
2.ส่งเสริมให้ผู้ฝากเงินคำนึงถึงความมั่นคงและผลประกอบการของสถาบันการเงิน นอกเหนือจากที่มุ่งเน้นดอกเบี้ยเงินฝาก
3.เสริมมาตรการกำกับดูแลความมั่นคงอย่างครบวงจรให้แก่สถาบันการเงินเพื่อดำเนินการอย่างระมัดระวัง และไม่เป็นภาระภาษีแก่ประชาชน

แนวทางการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากคือ การคุ้มครองผู้ฝากเงินในสถาบันการเงิน หากสถาบันการเงินนั้นประสบกับภาวะล้มละลาย ผู้ฝากเงินจะได้รับการจ่ายคืนเงินโดยเร็วตามจำนวนที่คุ้มครอง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือ การคุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวนจะไม่มีอีกแล้ว เพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะคุ้มครองเงินฝากในวงเงินที่จำกัดเท่านั้น สำหรับนโยบายของสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะค่อยๆ ลดวงเงินที่สถาบันจะคุ้มครอง จากทั้งจำนวนจนกระทั่งเหลือ 1 ล้านบาท ต่อ 1 บุคคลต่อ 1 ธนาคาร ภายใน 5 ปี สรุปได้ดังนี้

deposit-1

เมื่อการคุ้มครองเงินฝากอยู่ในวงเงินที่จำกัดผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากจำนวนเกินกว่าที่รัฐให้ความคุ้มครอง ก็จะต้องพิจารณาเลือกธนาคารที่จะเข้าไปฝากเงินด้วยปัจจัยที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ ความมั่นคงของธนาคาร สถานะทางการเงิน ความสามารถ ประวัติ และชื่อเสียงของผู้บริหาร เป็นต้น โดยผู้ฝากเงินสามารถศึกษาความมั่นคงของธนาคารแต่ละแห่งได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันจัดอันดับที่มีชื่อเสียง เช่น S&P Tris และ Fitch เป็นต้น

ทั้งนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2550 ประเทศไทยมีเงินฝากทั้งระบบ 6.56 ล้านล้านบาท จาก ผู้ฝากเงินทั้งหมด 52.59 ล้านราย การคุ้มครองเงินฝากตามวงเงินดังกล่าว สามารถครอบคลุมผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนี้

deposit-2

แหล่งที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

เมื่อเห็นตัวเลขอย่างนี้แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่คงไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไปนัก เพราะความคุ้มครองวงเงิน 1 ล้านบาท ที่กล่าวมานั้นครอบคลุมบัญชีเงินฝากของประชาชนทั่วประเทศกว่า 98% แต่ส่วนที่เหลือต้องเลือกธนาคารที่มีความมั่นคง ไม่ใช่เลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงเพียงอย่างเดียว และต้องกระจายเงินฝากออกไปในธนาคารต่างๆ มากขึ้น รวมถึงกระจายเงินไปยังการลงทุนประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในแง่ของธนาคารผู้รับฝากเงิน ต่อไปเราคงจะเห็นศึกแย่งชิงลูกค้าเงินฝาก ซึ่งธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็กคงจะต้องแข่งขันกันให้ดอกเบี้ยสูง เพื่อจูงใจและแย่งชิงลูกค้า

ที่มา.. TISCO Asset Management Co.,Ltd.